วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563


วันงดสูบบุหรี่โลก


 World No Tobacco Day) ตรงกับวันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปี เริ่มจัดครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 โดยองค์การอนามัยโลก เพื่อให้เห็นอันตรายของบุหรี่ต่อสุขภาพและโทษของบุหรี่ การจัดงานวันงดสูบบุหรี่โลกก็เพื่อกระตุ้นให้ผู้สูบบุหรี่เลิกสูบ และให้รัฐบาลชุมชนและประชากรโลก
วัฒนธรรมด้านการแต่งกายสี่ภาค

๑.ภาคกลาง การแต่งกายในชีวิตประจำวันทั่วไป ชายนุ่งกางเกงครึ่งน่อง สวมเสื้อแขนสั้น คาดผ้าขาวม้า ส่วนหญิง จะนุ่งซิ่นยาว สวมเสื้อแขนสั้นหรือยาว การแต่งกายผ้าขาวม้า ภาคกลาง จะมีลวดลายเป็นตารางสก๊อต เรียกว่า “ผ้าขาวม้า”
ลักษณะการแต่งกาย
ผู้ชาย สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง นิยมสวมใส่โจงกระเบนสวมเสื้อสีขาว ติดกระดุม ๕ เม็ด ที่เรียกว่า "ราชประแตน" ไว้ผมสั้นข้างๆตัดเกรียนถึงหนังศีรษะข้างบนหวีแสกกลาง
ผู้หญิง สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง นิยมสวมใส่ผ้าซิ่นยาวครึ่งแข้ง ห่มสไบเฉียงตามสมัยอยุธยา ทรงผมเกล้าเป็นมวย และสวมใส่เครื่องประดับเพื่อความสวยงาม
สุนัขจิ้งจอกกับอีกา
 กาลครั้งหนึ่งเจ้าจิ้งจอกเดินทางเข้าไปในป่า มันหิวมากและเหลียวไปเห็นอีกาคาบก้อนเนยอยู่บนกิ่งไม้ มันร้องบอกอีกา “สวัสดีแม่กาสุดสวย” อีกาก้มลงดู “แม่กาช่างงามนักข้าไม่เคยเห็นนกใดงามเหมือนท่านเลย”

วัดพระแก้ว


               วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระเเก้ว เป็นวัดในพระบรมมหาราชวังเช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งเป็นวัดในพระราชวังหลวงในสมัยอยุธยา
      นอกจากนี้ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ที่นำมาจากกรุงเวียงจันทน์ เป็นวัดหลวงที่สำคัญในพระราชพิธีต่างๆ และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทยเราอีกด้วย
แก้วมังกร


                แก้วมังกร (อังกฤษ : Dragon fruit) (สกุล Hylocereus) อยู่ในวงศ์ Cactaceae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับตะบองเพชร มีพื้นเพดั้งเดิมอยู่ในเม็กซิโกเข้ามาในเอเชียที่เวียดนามก่อน โดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเมื่อประมาณ 100 ปีมาแล้ว โดยปลูกมากตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเมืองญาตรังไปจนถึงไซ่ง่อน[1]

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563

 


       คืนวันหนึ่งที่แสงจันทร์ส่องสว่าง หมาจิ้งจอกเดินทอดน่องไปตามราวป่าเหมือนเช่นเคย มันเห็นไก่ฟ้าฝูงหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งของต้นไม้เก่าแก่สูงใหญ่เกินกว่าที่มันจะเอื้อมถึง ไม่นานนัก จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็พบวงแสงจันทร์บนพื้นซึ่งสว่างพอที่ไก่ฟ้าจะมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน มันจึงยืนขึ้นบนขาหลังแล้วเริ่มเต้นระบำอย่างบ้าคลั่ง ทีแรกมันหมุนตัวไปรอบๆ เหมือนลูกข่าง จากนั้นจึงกระโดดขึ้นกระโดนลง รวมถึงกระโดดโลดเต้นด้วยท่าทางแปลกๆ ทุกลีลา พวกไก่ฟ้าจ้องมองด้วยความงุนงง ตาแทบจะไม่กระพริบด้วยกลัวว่าจะคลาดสายตาจากเจ้าหมาจิ้งจอก

       และแล้วเจ้าหมายจิ้งจอกก็ทำท่าเหมือนจะปีนต้นไม้ ทันใดนั้นมันก็ตกลงมานอนแน่นิ่้งแกล้งทำเป็นตาย อึดใจต่อมามันก็กระโดดด้วยขาทั้งสี่ หลังของมันลอยอยู่กลางอากาศ พวงหางของมันกวัดไกวจนดูเหมือนเปล่งประกายสีเงินใต้แสงจันทร์

       จนถึงตอนนี้พวกไก่ที่น่าสงสารก็รู้สึกหัวหมุนไปหมด เมื่อหมาจิ้งจอกเริ่มการแสดงทั้งหมดอีกรอบ พวกมันก็ยิ่งวิงเวียนมากขึ้นจนกระทั่งเสียหลักหล่นจากกิ่งไม้และตกลงมาเป็นอาหารของเจ้าหมาจิ้งจอกทีละตัว


:: นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ::
การใส่ใจในอันตรายมากเกินไปอาจเป็นเหตุให้ตกเป็นเหยื่อของมันได้


:: พุทธภาษิต ::
สพฺพํ เภทปริยนฺตํ เอวํ มจฺจาน ชีวิตํ.
ชีวิตของสัตว์เหมือนภาชนะดิน ซึ่งล้วนมีความสลายเป็นที่สุด.

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

คำนิยามตามนโยบายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น

“ผู้ประกอบการ” หมายความว่า บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจ หรือวิชาชีพ เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน กิจการร่วมค้า
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ องค์การมหาชน องค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ หน่วยงานธุรการของศาล มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หน่วยงานสังกัดรัฐสภาหรือในกำกับของรัฐสภา หน่วยงานอิสระของรัฐ และหน่วยงานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
“เจ้าพนักงานของรัฐ” หมายความว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และคณะกรรมการ ป.ป.
“เจ้าหน้าที่ของรัฐ” หมายความว่า ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นซึ่งมีตำแหน่ง หรือเงินเดือนประจำ ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐหรือในรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าพนักงาน ตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่ หรือเจ้าพนักงานอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติและให้หมายความรวมถึงกรรมการ อนุกรรมการ ลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ และบุคคลหรือคณะบุคคลบรรดาซึ่งมีกฎหมายกำหนดให้ใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครอง ที่จัดตั้งขึ้นในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐด้วย แต่ไม่รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และคณะกรรมการ ป.ป.ช.
“กรรมการ” หมายความว่า กรรมการของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมการเสนอราคา
“ผู้บริหาร” หมายความว่า ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการกำกับดู และดำเนินกิจกรรมของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมการเสนอราคา
“พนักงาน” หมายความว่า พนักงานประจำภายใต้สัญญาจ้างแรงงาน พนักงานทดลองงาน และพนักงานที่มีสัญญาจ้างพิเศษ
“ผู้มีส่วนได้เสีย” หมายความว่า บุคคลหรือกลุ่มบุคลที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม หรือมีผลประโยชน์ใดๆ กับการดำเนินธุรกิจ
“การทุจริตคอร์รัปชั่น” หมายความว่า การใช้อำนาจที่ได้มาหรือการใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่ในทางมิชอบ เพื่อประโยชน์ของบริษัท ตนเอง หรือผู้เกี่ยวข้อง หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของผู้อื่น รูปแบบของการทุจริตคอร์รัปชั่นให้หมายรวมถึงสินบน สิ่งของที่มีมูลค่า สิ่งของหรือประโยชน์อื่นใด การมีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างเอกชนกับหน่วยงานของรัฐ และระหว่างบุคคลหรือกิจการในเอกชน ด้วยกันเอง
“การติดสินบน” หมายความว่า การเสนอ การสัญญา หรือการมอบ รวมทั้งการเรียกร้อง หรือรับผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของที่มีมูลค่า ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมเพื่อให้ได้มาซึ่งธุรกิจ หรือเพื่อรักษาผลประโยชน์อื่นใดอันไม่เหมาะสมตามหลักจรรยาบรรณธุรกิจ
“สิ่งของหรือประโยชน์อื่นใด” หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ที่ให้แก่กันเพื่ออัธยาศัยไมตรีที่ให้เป็นรางวัล หรือให้เป็นสินน้ำใจ การให้สิทธิพิเศษ ตลอดจนการออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางหรือท่องเที่ยว ค่าที่พัก ค่าอาหาร หรือสิ่งอื่นใดในลักษณะเดียวกัน และไม่ว่าจะให้เป็นบัตร ตั๋วหรือหลักฐานอื่นใด



อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์หลักๆ
รู้กันมั้ยว่าส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์มีอะไรบ้าง คอมพิวเตอร์นั้นมีส่วนประกอบหลักๆ อยู่ 4 ส่วนด้วยกัน เริ่มจาก
  • 1. โปรเซสเซอร์ (Processor) นั่นก็คือหน่วยประผลกลางหรือที่รู้จักกันในนามของซีพียู (CPU) นั่นเอง หรือเรียกว่าซิป ซึ่งส่วนนี้มีความสำคัญมากที่สุดของฮาร์ดแวร์ เพราะว่ามีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามา ซึ่งซีพียูนั้นมีรุ่นต่างๆ ออกมาวางขายตามท้องตลาดมากมาย ซึ่งแต่ละรุ่นก็ราคาแตกต่างกันออกไป
  • 2. หน่วยความจำ (Memory) หรือ RAM นั่นเอง ซึ่ง RAM นั้นเป็นหน่วยความจำหลักที่จำเป็นในการเก็บข้อมูลต่างๆ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหน่วยความจำสำรองนั่นเอง ก็คือจะเก็บข้อมูลชั่วคราว ซึ่งหน่วยความจำแรมจะทำหน้าที่เก็บชุดคำสั่งและข้อมูลที่ระบบคอมพิวเตอร์กำลังทำงานอยู่ด้วย
  • 3. ส่วนอินพุต/เอาต์พุต (Input/Output) ก็คืออุปกรณ์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสัมผัสและรับรู้สิ่งต่าง ๆ เช่น เครื่องอ่านบัตร คีย์บอร์ด เมาส์ สแกนเนอร์ และอุปกรณ์ Output ก็ได้แก่พวก เครื่องพิมพ์  จอภาพ
  • 4.  สื่อจัดเก็บข้อมูล  (Storage) นั่นก็คือสื่อที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล เช่น ฮาร์ดดิสก์ ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลอุปกรณ์คอมพิวเตอร์

ศัพท์ภาษาจีน: ประโยคใช้บ่อยในการท่องเที่ยว
September 5, 2016


1.你好!
nǐhǎo
หนีห่าว
สวัสดี

2.请!
Qǐng
ฉิ่ง
เชิญ

3.对不起。
duì bu qǐ
ตุ้ย ปู ฉี่
ขอโทษ

4.没关系!
méi guān xi
เหมย กวนสิ
ไม่เป็นไร

5.谢谢!
Xièxie
เซี่ยเซีย
ขอบคุณ

6.不用谢!
bú yòng xiè
ปู๋ ย่ง เซี่ย
ไม่เป็นไร,ไม่ต้องขอบคุณ.

7.您早!
Nínzǎo
หนินเจ่า
อรุณสวัสดิ์

8.晚安!
wǎn’ān
หวั่นอัน
ราตรีสวัสดิ์

9.请原谅!
qǐng yuánliàng
ฉิ่ง เยวียนเลี่ยง
โปรดให้อภัย

10.请坐!
qǐng zuò
ฉิ่ง จั้ว
เชิญนั่ง

11. 请问,您贵姓?
qǐng wèn, nín guì xìng?
ฉิ่ง เวิ่น,หนิน กุ้ย ซิ่ง
ขอทราบคุณแซ่(นามสกุล)อะไร

12.我姓+แซ่,นามสกุล
wŏ xìng+ แซ่,นามสกุล
หว่อ ซิ่ง + แซ่,นามสกุล
ฉันแซ่(นามสกุล)________

16.再见!
zàijiàn
ไจ้ เจี้ยน
แล้วพบกันใหม่

17.慢走。
màn zǒu
มั่น โจ่ว
เดินดีๆนะคะ ขอให้เดินทางปลอดภัย

18.辛苦了
xīnkǔ le
ซินขู่ เลอ
ลำบากคุณเลย,ทำให้คุณต้องเหนื่อย
*เป็นสำนวนที่ใช้เวลาที่อีกฝ่ายช่วยเหลือเรา ทำธุระให้ หรือลำบากเพื่อเราค่ะ

19.一路平安
yí lù píng’ān
อี๋ ลู่ ผิงอัน
ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ

20. 请稍等。
qǐng shāo děng
ฉิ่ง เซา เติ่ง
กรุณารอสักครู่
*请(qǐng/ฉิ่ง)กรุณา
*稍(shāo/เซา)สักครู่
*等(děng/เติ่ง)รอ
กรุณารอสักครู่

21.请等一下儿
qǐng děng yí xiàr
ฉิง เติ่ง อี๋ เซี่ย
กรุณารอสักครู่

22.谢谢您的合作!
xièxie nín de hézuò
เซี่ยเซีย หนิน เตอ เหอจั้ว
ขอบคุณที่คุณให้ความร่วมมือ

24.来齐了吗?
lái qí le ma?
ไหล ฉี เลอ มะ
มาครบหรือยังคะ
*来(lái/ไหล)มา
*齐(qí/ฉี)ครบ
*了吗(le ma/เลอ มะ)แล้วหรือยัง

25. 还差一个人。
hái chà yí ge rén
ไห ช่า อี๋ เกอ เยริน
ยังขาดอีก 1 คน
*还(hái/ไห)ยัง,ยังคง
*差(chà/ช่า)ขาด
*一个人(yí ge rén/อี๋ เกอ เยริน) หนึ่งคน

26. 给大家一个小时的时间。
gĕi dàjiā yí ge xiăoshí de shíjiān
เก่ย ตาเจีย อี๋ เกอ เสี่ยวสือ เตอ สือเจียน
ให้เวลาทุกท่าน 1 ชั่วโมง
*给(gĕi/เก่ย)ให้
*大家(dàjiā/ต้าเจีย)ทุกคน
*一个小时(yí ge xiăoshí/อี๋ เกอ เสี่ยวสือ) หนึ่งชั่วโมง
*时间(shíjiān/สือเจียน)เวลา

27.在这里等。
zài zhè li dĕng
ไจ้ เจ้อ หลิ เติ่ง
รอที่ตรงนี้
*在(zài/ไจ้)อยู่ที่, ที่
*这里(zhè li/เจ้อ หลิ) ที่นี่,ตรงนี้
*等(dĕng/เติ่ง) รอ

28.明白了
míngbái le
หมิงไป๋ เลอ
เข้าใจแล้วครับ

29. 别忘了东西
bié wàng le dōngxi
เปี๋ย วั่ง เลอ ตงสิ
อย่าลืมของนะคะ

30. 这是你的吗?
zhè shì nǐ de ma
เจ้อ ซื่อ หนี่ เตอ มะ
นี่คือของคุณใช่ไหม

31.请排队
qǐng páiduì
ฉิ่ง ไผตุ้ย
กรุณาเข้าแถว(เข้าคิว)
*排队(páiduì/ไผตุ้ย)เข้าแถว,เข้าคิว

32. 不要插队
bú yào chāduì
ปู๋ เย่า ชาตุ้ย
อย่าแซงคิว
*不要(bú yào/ปู๋ เย่า) อย่า
*插队(chāduì/ชาตุ้ย) แซงคิว

33. 过马路要小心车
guò mălù yào xiăoxīn chē
กั้ว หม่าลู่ เย่า เสี่ยวซิน เชอ
ข้ามถนนต้องระวังรถด้วย
*过马路(guò mălù/กั้ว หม่าลู่) ข้ามถนน
*要(yào/เย่า) ต้อง, ควร
*小心(xiăoxīn/เสี่ยวซิน) ระวัง , ระมัดระวัง
*车 (chē/เชอ) รถ

34. 靠边
kào biān
เข้า เปียน
ชิดริม,ชิดใน

35. 不要挤
bú yào jǐ
ปู๋ เย่า จี่
อย่าเบียดกันค่ะ
*挤(jǐ/จี่) เบียด

36. 走人行道,不要走马路上。
zŏu rénxíngdào , búyào zŏu mălù shang
โจ่ว เยรินสิงเต้า , ปู๋ เย่า โจ่ว หม่าลู่ซัง
เดินบนทางเท้า อย่าเดินบนถนนค่ะ
*走(zŏu/โจ่ว) เดิน
*人行道(rénxíngdào/เยรินสิงเต้า) ทางเท้า
*马路 (mălù/หม่าลู่) ถนน

37. 慢慢来
mànman lái
มั่นมัน ไหล
ใจเย็นๆ , ค่อยๆ

38. 请小声点儿。
qǐng xiăoshēng diănr
ฉิง เสี่ยว เซิง เตี่ยนร์
ช่วยเสียงเบาหน่อยค่ะ

里面不可以拍照。
lǐmian bù kĕyǐ pāizhào
หลี่เมียน ปู้ เขออี่ ไพเจ้า
ด้านในถ่ายรูปไม่ได้ค่ะ

ฟิสิกส์

 

                                 ฟิสิกส์ (อังกฤษ: Physics, กรีก: φυσικός [phusikos], "เป็นธรรมชาติ" และ กรีก: φύσις [phusis], "ธรรมชาติ") เป็นวิทยาศาสตร์สาขาธรรมชาติที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสสาร [1] เช่น การเคลื่อนที่ของสสาร นิสัยของสสารรวมถึงกาล-อวกาศ และเรื่องเกี่ยวกับพลังงานและแรง เช่น สนาม และคลื่น [2] [3] ฟิสิกส์เป็นหนึ่งในวิชาพื้นฐานที่สุดของวิทยาศาสตร์ โดยเป้าหมายคือการศึกษาว่า "จักรวาลทำงานอย่างไร"
ฟิสิกส์เป็นความรู้พื้นฐานที่นำไปใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับการผลิต และเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่มนุษย์ ตัวอย่างเช่น การนำความรู้พื้นฐานทางด้านแม่เหล็กไฟฟ้า ไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ (โทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ) อย่างแพร่หลาย หรือ การนำความรู้ทางอุณหพลศาสตร์ไปใช้ในการพัฒนาเครื่องจักรกลและยานพาหนะ ยิ่งไปกว่านั้นความรู้ทางฟิสิกส์บางอย่างอาจนำไปสู่การสร้างเครื่องมือใหม่ที่ใช้ในวิทยาศาสตร์สาขาอื่น เช่น การนำความรู้เรื่องกลศาสตร์ควอนตัม ไปใช้ในการพัฒนากล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่ใช้ในชีววิทยา เป็นต้น
นักฟิสิกส์ศึกษาธรรมชาติ ตั้งแต่สิ่งที่เล็กมาก เช่น อะตอม และ อนุภาคย่อย ไปจนถึงสิ่งที่มีขนาดใหญ่มหาศาล เช่น จักรวาล จึงกล่าวได้ว่า ฟิสิกส์ คือ ปรัชญาธรรมชาติเลยทีเดียว[ต้องการอ้างอิง]
ในบางครั้ง ฟิสิกส์ ถูกกล่าวว่าเป็น แก่นแท้ของวิทยาศาสตร์ (fundamental science) เนื่องจากสาขาอื่น ๆ ของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เช่น ชีววิทยา หรือ เคมี ต่างก็มองได้ว่าเป็น ระบบของวัตถุต่าง ๆ หลายชนิดที่เชื่อมโยงกัน โดยที่เราสามารถสามารถอธิบายและทำนายพฤติกรรมของระบบดังกล่าวได้ด้วยกฎต่าง ๆ ทางฟิสิกส์ ยกตัวอย่างเช่น คุณสมบัติของสารเคมีต่าง ๆ สามารถพิจารณาได้จากคุณสมบัติของโมเลกุลที่ประกอบเป็นสารเคมีนั้น ๆ โดยคุณสมบัติของโมเลกุลดังกล่าว สามารถอธิบายและทำนายได้อย่างแม่นยำ โดยใช้ความรู้ฟิสิกส์สาขาต่าง ๆ เช่น กลศาสตร์ควอนตัม, อุณหพลศาสตร์ หรือ ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น
ในปัจจุบัน วิชาฟิสิกส์เป็นวิชาที่มีขอบเขตกว้างขวางและได้รับการพัฒนามาแล้วอย่างมาก งานวิจัยทางฟิสิกส์มักจะถูกแบ่งเป็นสาขาย่อย ๆ หลายสาขา เช่น ฟิสิกส์ของสสารควบแน่น ฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์อะตอม-โมเลกุล-และทัศนศาสตร์ ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์พลศาสตร์ที่ไม่เป็นเชิงเส้น-และเคออส และ ฟิสิกส์ของไหล (สาขาย่อยฟิสิกส์พลาสมาสำหรับงานวิจัยฟิวชั่น) นอกจากนี้ยังอาจแบ่งการทำงานของนักฟิสิกส์ออกได้อีกสองทาง คือ นักฟิสิกส์ที่ทำงานด้านทฤษฎี และนักฟิสิกส์ที่ทำงานทางด้านการทดลอง โดยที่งานของนักฟิสิกส์ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทฤษฎีใหม่ แก้ไขทฤษฎีเดิม หรืออธิบายการทดลองใหม่ ๆ ในขณะที่ งานการทดลองนั้นเกี่ยวข้องกับการทดสอบทฤษฎีที่นักฟิสิกส์ทฤษฎีสร้างขึ้น การตรวจทดสอบการทดลองที่เคยมีผู้ทดลองไว้ หรือแม้แต่ การพัฒนาการทดลองเพื่อหาสภาพทางกายภาพใหม่ ๆ
ทั้งนี้ขอบเขตของวิชาฟิสิกส์ภาคปฏิบัติ ขึ้นอยู่กับขีดจำกัดของการสังเกต และประสิทธิภาพของเครื่องมือวัด ถ้าเทคโนโลยีของเครื่องมือวัดพัฒนามากขึ้น ข้อมูลที่ได้จะมีความละเอียดและถูกต้องมากขึ้น ทำให้ขอบเขตของวิชาฟิสิกส์ยิ่งขยายออกไป ข้อมูลที่ได้ใหม่ อาจไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ทฤษฎีและกฎที่มีอยู่เดิมทำนายไว้ ทำให้ต้องสร้างทฤษฏีใหม่ขึ้นมาเพื่อทำให้ความสามารถในการทำนายมีมากขึ้น

ทฤษฎีเคมี

                    
                            โดยทั่วไปเคมีมักเริ่มต้นด้วยการศึกษาอนุภาคพื้นฐาน, อะตอม, โมเลกุล [8]แล้วนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับสสาร ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารด้วยกันเองหรือปฏิสัมพันธ์ของสสารกับสิ่งที่ไม่ใช่สสารอย่างเช่นพลังงาน แต่หัวใจสำคัญของเคมีโดยทั่วไปคือการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสารเคมีด้วยกันในปฏิกิริยาเคมี โดยสารเคมีนั้นมีการเปลี่ยนรูปไปเป็นสารเคมีอีกชนิดหนึ่ง นี่อาจจะรวมไปถึงการฉายรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าสู่สารเคมีหรือสารผสม (ในเคมีแสง) ในปฏิกิริยาเคมีที่ต้องการแรงกระตุ้นจากแสง อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาเคมีนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเคมีซึ่งศึกษาสสารในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ตัวอย่างเช่น นักสเปกโตรสโคปีนั้นจะศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างแสงกับสสารโดยที่ไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น
แนะนำตัว
เริ่มจากวิธีแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ แบบง่ายๆ พื้นฐานๆ กันก่อน
Let me introduce myself. My name is Suda : ฉันขออนุญาติแนะนำตัวเอง ฉันชื่อสุดา
My nickname is Som-O : ชื่อเล่นของฉันคือ ส้มโอ
I am studying at ABCDEFG School. : ฉันกำลังศึกษาอยู่โรงเรียนABCDEFG
I am studying in grade 12. : (ฉันกำลังเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่6)
My major was science – math. : สายการเรียนวิทย์คณิต
I live in Khon Kaen. : ฉันอาศัยอยู่ที่ขอนแก่น
I live with my parents. : ฉันอยู่กับพ่อแม่
I have two brother and a sister. : ฉันมีน้องชาย2คนและน้องสาวอีก1คน
My hobby is drawing pictures. : งานอดิเรกของฉันคือวาดภาพ
My favorite sport is karate. : กีฬาที่ฉันชื่นชอบคือกีฬาคาราเต้

–การแนะนำตนเองแบบเป็นกันเอง

Hello. : แฟง (สวัสดี)
My name’s Tongdee. (บอกชื่อ) : มาย เนมส มาริษา(ฉันชื่อมาริษา)
I’m from Thailand. : ไอม ฟรอม ไท๊แลนด (ฉันมาจากประเทศไทย)
I’m an exchange student. : ไอม เมิน นิกซเช๊นจ สติ๊วเดินท (ฉันเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน)
Glad to meet you. : แกลด ทะ มีท ชู (ดีใจที่ได้เจอกัน)

การแนะนำตนเองแบบเป็นทางการ

Good morning. : กุด ม๊อนิง (อรุนสวัสดิ์ครับ)
May I introduce myself? : เม๊ ยาย ยินทระดิ๊วซ มายเซ๊ลฟ (ผมขออนุญาตแนะนำตัวเองนะครับ)
My name is Somchai Rakdee. : มาย เนม มิส สมชาย รักดี (ผมชื่อสมชาย รักดี)
I’m the marketing manager from ABC company. : ไอม เดอะ ม๊าคิททิง แม๊นนิจเจอะ ฟรอม เอบีซี คั๊มพะนี (ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดจากบริษัทเอบีซี)
Nice to meet you. : ไนซ ทะ มีท ชู (ยินดีที่ได้รู้จัก)

การแนะตัวแบบทั่วๆ ไป

ชื่อ น.ส.เอ้ นามสมมติ : My name is Aeh Namsommut.
ชื่อเล่น เก๋ : My nickname is Kae. (แต่ฝรั่งจะพูดว่า You can call me Mook.)
อายุ 18 ปี เกิดวันที่ 28 สิงหาคม 2538 : I’me 18 years old. My birthday is the 28th of August 1995.
ศึกษาอยู่ที่ โรงเรียนอำนาจเจริญ ชั้น ม. 3/11 : I’m studying at Amnatcharoen School. I’m in Mathayom 4/11.
อนาคต อยากไปเที่ยวต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี จีน สิงคโปร์ เป็นต้น : I want to visit Japan, Korea, China Singapore and so on.
อาหารที่ชอบ ก๋วยเตี๋ยว ผัดกระเพรา : My favorite food is Noodle and Pad Ka Prao.
สีที่ชอบ สีฟ้า เขียว น้ำเงิน : My favorite color is blue green and navy blue.
คติประจำตัว จะไม่เป็นอนาคตของชาติ แต่จะเป็นปัจจุบันของชาติ : My motto is “not to be the future of the nation but to be the present time of the nation.”
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แนะนําตัวเองภาษาอังกฤษ




แบดมินตัน

แบดมินตัน (อังกฤษ: badminton)

                เป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ที่ใช้ไม้ตีลูก ลูกสำหรับใช้ตีนั้น เรียกกันมาช้านานว่า "ลูกขนไก่" เพราะสมัยก่อนกีฬานี้ใช้ขนของไก่มาติดกับลูกบอลทรงกลมขนาดเล็ก ปัจจุบันลูกขนไก่ผลิตจากขนเป็ดที่คัดแล้ว ลูกบอลทรงกลมขนาดเล็กที่ทำเป็นหัวลูกขนไก่ทำด้วยไม้คอร์ก
กีฬาแบดมินตันจะแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย และแบ่งการเล่นออกเป็น 2 ประเภท คือ "ประเภทเดี่ยว" แบ่งผู้เล่นออกเป็นฝ่ายละ 1 คน และ "ประเภทคู่" แบ่งผู้เล่นออกเป็นฝ่ายละ 2 คน การเล่นรอบหนึ่งเรียกว่า 1 นัด นัดละ 3 เกม (บางคนเรียกเซต) ตัดสินแพ้ชนะ 2 ใน 3 เกม มีกำหนดคะแนนสูงสุด 21 คะแนน ฝ่ายใดทำคะแนนได้ถึง 21 คะแนนก่อนจะเป็นผู้ชนะในเกมนั้น

เนื้อหา
1 ประวัติ
2 วิธีการเล่น
2.1 วิธีการนับคะแน
2.2 การเสิร์ฟลูก
2.3 การดิวส์
3 การแข่งขัน4 หนังสืออ่านเพิ่มเติม5 แหล่งข้อมูลอื่น
ประวัติ
               กีฬาแบดมินตันมีความเป็นมาที่ชัดเจนมาก ซึ่งจากหลักฐานต่าง ๆ จะสามารถบ่งบอกที่มาของกีฬาประเภทนี้ไว้ที่หลายยุค เช่น ในจีนช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 มีภาพวาดเก่า ๆ ซึ่งบ่งบอกว่ามีการใช้ขนไก่มาทำเป็นลูกขนไก่ใช้ในการเล่น ซึ่งตอนนั้นจะใช้เท้าเตะกัน 2 คนหรือจะตั้งวงกัน 3-4 คน
คริสต์ศตวรรษที่ 13 ชาวอินเดียแดงในอเมริกาตอนใต้ ใช้ขนนกหรือขนไก่ผูกติดกับลูกกลมโดยลูกบอลกลมนั้นใช้หญ้าฟางพันขมวดเข้าด้วยกัน และให้ขนไก่ชี้ไปทางเดียวกันและเวลาเล่นใช้มือจับลูกขนไก่นั้นปาใส่ผู้เล่นคนอื่น ๆ ให้ช่วยกันจับ ตลอดช่วงเวลาที่กล่าวมานี้ ยังไม่มีการใช้แร็กเกต หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ตีปะทะลูกขนไก่ แต่ใช้มือ หรืออวัยวะอื่น ๆ แทน
คริสต์ศตวรรษที่ 14 ชาวญี่ปุ่นได้มีการใช้ขนไก่ หรือขนนกเสียบผูกติดกับหัวไม้ และใช้ไม้ตีลูกขนไก่นั้น โดยไม้ที่ใช้ตีทำมาจากไม้กระดาน ตีลูกขนไก่ไปมานับว่าเป็นวิวัฒนาการในรูปลักษณ์ของการเล่นแบดมินตันที่ใกล้เคียงกับยุคปัจจุบันมากที่สุด โดยมีการใช้แร็กเกตตีลูกขนไก่แทนการใช้อวัยวะของร่างกาย
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในแถบยุโรปมีการเขียนภาพสีน้ำมันถึงการเล่นกีฬาแบดมินตันในราชสำนักต่าง ๆ พระราชินีคริสตินาแห่งสวีเดนทรงจำลองไม้แบดมินตันมาจากแร็กเกตในกีฬาเทนนิส และใช้ขนไก่หรือขนนกเสียบติดกับหัวไม้ก๊อกเจ้าฟ้าชายเฟรดเดอริค มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก ทรงแบดมินตันในลักษณะเดียวกัน แต่ในตอนนั้นเรียกแบดมินตันว่า "แบตเทิลดอร์กับลูกขนไก่"
คริสต์ศตวรรษที่ 18 ในเยอรมนีกษัตริย์ของปรัสเซียเฟรดเดอริคมหาราช และพระเจ้าหลานเธอเฟรดเดอริค วิลเลียมที่สอง ทรงแบดมินตันในลักษณะเดียวกัน และในประเทศอังกฤษมีเรื่องเล่าว่าในปี ค.ศ. 1870 นายทหารคนหนึ่งที่ไปประจำการอยู่ในเมืองปูนา ประเทศอินเดียได้เห็นกีฬาตีลูกขนไก่จึงนำกลับไปเล่นในอังกฤษ และในอังกฤษ ณ คฤหาสน์ “แบดมินตัน” ของยุคแห่งบิวฟอร์ด ที่ตำบลกล๊อสเตอร์เชอร์ ในปี ค.ศ. 1873 เกมกีฬาตีลูกขนไก่จึงถูกเรียกว่า “แบดมินตัน” ตามชื่อของสถานที่นับตั้งแต่นั้นมา
วิธีการเล่น
           กีฬาแบดมินตันจะแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย และแบ่งการเล่นออกเป็น 2 ประเภท คือ "ประเภทเดี่ยว" แบ่งผู้เล่นออกเป็นฝ่ายละ 1 คน "ประเภททีม" แบ่งผู้เล่นออกเป็นฝ่ายละ 2 คน
วิธีการนับคะแนน
1.จะต้องชนะให้ได้มากที่สุดใน 3 เกม
2. ทุกประเภทของการแข่งขัน ฝ่ายที่ได้ 21 คะแนนก่อนเป็นฝ่ายชนะในเกมนั้น ยกเว้นเมื่อได้ 20 คะแนนเท่ากันต้องนับต่อให้มีคะแนนห่างกัน 2 คะแนน ฝ่ายใดได้คะแนนนำ 2 คะแนนก่อนเป็นผู้ชนะ แต่ไม่เกิน 30 คะแนน หมายความว่าหากการเล่นดำเนินมาจนถึง 29 คะแนนเท่ากัน ฝ่ายใดได้ 30 คะแนนก่อน เป็นผู้ชนะ
3. ฝ่ายชนะเป็นฝ่ายเสิร์ฟในเกม ต่อไป
4. ฝ่ายชนะการเสี่ยงสิทธิ์เป็นฝ่ายส่งลูกได้ก่อน หากฝ่ายตรงข้ามทำลูก "เสีย" หรือลูกไม่ได้อยู่ในการเล่น ผู้เลือกส่งลูกก่อนจะได้คะแนนนำ 1-0 และได้ส่งลูกต่อ แต่หากผู้ส่งลูกทำลูก "เสีย" หรือลูกไม่อยู่ในการเล่น ฝ่ายตรงข้ามจะได้คะแนนตามมาทันทีเป็น 1-1 และฝ่ายตรงข้ามจะได้สิทธิ์ส่งลูกแทน ดำเนินเช่นนี้ต่อไปจนจบเกม
5. ประเภทคู่ให้ส่งลูกฝ่ายละ 1 ครั้ง ตามคะแนนที่ได้ ขณะที่เปลี่ยนฝ่ายส่งลูก หากคะแนนเป็นจำนวนคี่ ผู้อยู่คอร์ดด้านซ้ายเป็นผู้ส่งลูก หากคะแนนเป็นจำนวนคู่ผู้อยู่คอร์ดด้านขวาเป็นฝ่ายส่งลูก
การเสิร์ฟลูก
1.เมื่อเริ่มเกมให้ฝ่ายที่เสิร์ฟและฝ่ายตรงข้าม ให้ยืนสนามส่งลูกด้านขวา และเมื่อคะแนนของฝ่ายเสิร์ฟเป็นเลขคี่ให้เสิร์ฟด้านซ้าย ถ้าคะแนนของฝ่ายเสิร์ฟเป็นเลขคู่ให้เสิร์ฟขวา
2.ทุกเส้นออกแตกต่างกันในส่วนของลูก จะต้องอยู่ต่ำกว่าเอวของผู้ส่งขณะที่แร็กเกตสัมผัสลูก ส่วนเอวนั้นจะพิจารณาโดยการจินตนาการจากเส้นรอบลำตัวที่ระดับซี่โครงซี่สุดท้ายของผู้ส่งลูก
3.สำหรับการทดลองความสูงคงที่ ทุกส่วนของลูกขนไก่ขณะที่แร็กเกตสัมผัสลูกจะต้องสูงไม่เกิน 1.10 เมตร โดยนับจากพื้นสนามขึ้นมา
4.ผู้เล่นต้องไม่ถ่วงเวลา หรือเสิร์ฟช้า หรือเสิร์ฟ 2 จังหวะ การเสริฟ ต้องเสิร์ฟไปด้วยจังหวะเดียว
5.ขณะเสิร์ฟ ส่วนใดส่วนหนึ่งของเท้าทั้ง 2 ข้างต้องสัมผัสพื้นตลอดเวลา
6.การเสิร์ฟลูกที่ถูกต้อง ต้องให้แร็กเก็ตสัมผัสกับหัวลูกก่อน หากโดนขนก่อนถือว่าผิดกติกา
- ขณะตีลูกโต้กัน ห้ามนำส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายหรือไม้แบดไปสัมผัสกับเน็ท
- ห้ามตีลูกที่ฝั่งตรงข้ามโต้กลับมาในขณะที่ลูกยังไม่ข้ามเน็ทมายังแดนเรา (Over net)
การดิวส์
            หากผู้เล่นทั้งสองฝ่ายทำคะแนนได้เท่ากันในคะแนนที่ 20 จะมีการเล่นต่อ จนกว่าว่าจะมีคะแนนมากกว่าฝ่ายตรงข้าม 2 คะแนน แต่ถ้ายังไม่สามารถทำคะแนนห่างกัน 2 แต้มได้ จะเล่นต่อไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อแต้มได้ 29 เท่ากัน ใครที่ทำได้แต้ม 30 ก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะทันที

การแข่งขัน
  1. แบดมินตันชิงแชมป์โลก
  2. แบดมินตัน ประเภททีมชายและทีมหญิงชิงแชมป์โลก (โธมัสคัพ และ ยูเบอร์คัพ)
  3. แบดมินตัน ประเภททีมผสมชิงแชมป์โลก (ซูดีร์มันคัพ)
  4. กีฬาแบดมินตันในโอลิมปิก
  5. แบดมินตันชิงแชมป์ทวีปเอเชีย (Asia Championships)
  6. แบดมินตันใน เอเชียนเกมส์
  7. แบดมินตันใน ซีเกมส์
  8. แบดมินตันซูเปอร์ซีรีส์พรีเมียร์
  9. แบดมินตันซูเปอร์ซีรีส์ไฟนอลส์
  10. แบดมินตันซูเปอร์ซีรีส์กรังด์ปรีซ์ โกลด์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แบดมินตัน




                     😊  ประวัติดนตรีไทย💗

                     
เครื่องดนตรีไทยเกิดจากชนชาติไทยเองและการเลียนแบบชนชาติอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ชิดโดยเริ่มตั้งแต่สมัยโบราณที่ไทยตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาจักรฉ่องหวู่ดินแดนของประเทศจีนในปัจจุบัน ทำให้เครื่องดนตรีไทยและจีนมีการแลกเปลี่ยนเลียนแบบกัน นอกจากนี่ยังมีเครื่องดนตรีอีกหลายชนิด ที่ชนชาติไทยประดิษฐ์ขึ้นใช้ก่อนที่จะมาพบวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งแพร่หลายอยู่ทางตอนใต้ของแหลมอินโดจีน สำหรับชื่อเครื่องดนตรีดั้งเดิมของไทยจะเรียนตามคำโดดในภาษาไทย เช่น เกราะ โกร่ง กรับ ฉิ่ง ฉาบ ขลุ่ย พิณเปี๊ยะ ซอ ฆ้องและกลอง ต่อมาได้มีการประดิษฐ์เครื่องดนตรีให้พัฒนาขึ้น โดยนำไม้ที่ทำเหมือนกรับหลายอันมาวางเรียงกันได้เครื่องดนตรีใหม่ เรียกว่าระนาดหรือนำฆ้องหลาย ๆ ใบมาทำเป็นวงเรียกว่า ฆ้องวง เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานกับวัฒนธรรมทางดนตรีของอินเดีย มอญ เขมร ในแหลมอินโดจีนที่ไทยได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ ได้แก่ พิณ สังข์ ปี่ไฉน บัณเฑาะว์ กระจับปี่ จะเข้ โทน(ทับ) เป็นต้น ต่อมาเมื่อมีความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ไทยได้นำบทเพลงและเครื่องดนตรีบางอย่างของประเทศเพื่อนบ้านมาบรรเลงในวงดนตรีไทย เช่น กลองแขกของชวา กลองมลายูของมลายู เปิงมางของมอญ และกลองยาวของไทยใหญ่ที่พม่านำมาใช้ รวมทั้งขิม ม้าล่อ และกลองจีน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีของจีน เป็นต้น ต่อมาไทยมีความสัมพันธ์ชาวกับตะวันตกและอเมริกา ก็ได้นำกลองฝรั่ง เช่นกลองอเมริกัน และเครื่องดนตรีอื่น ๆ เช่น ไวโอลีน ออร์แกน มาใช้บรรเลงในวงดนตรีของไทย

จากประวัติเครื่องดนตรีไทยดังกล่าว สามารถแบ่งประวัติศาสตร์ของเครื่องดนตรีไทยได้เป็น 4 สมัย ดังนี้

1.สมัยสุโขทัย
2.สมัยอยุธยา
3.สมัยธนบุรี
4.สมัยรัตนโกสินทร์



รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

                                                     ไวรัสโคโรน่า
                   จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในจีน แซงหน้าจำนวนผู้ป่วยโรคซาร์สที่ระบาดเมื่อกว่า 17 ปีก่อนแล้ว ขณะที่ผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นเป็น 131 ราย


                     สำนักข่าว เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า หน่วยงานสาธารณสุขของจีนเปิดเผยในวันพุธที่ 29 ม.ค. 2563 ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุใหม่ 2019 ในจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 5,496 รายแล้ว มากกว่าจำนวนผู้ติดโรคซาร์สในจีนเมื่อปี 2546
ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก โรคซาร์สที่ระบาดไปทั่วโลกในปี 2546 ทำให้มีผู้ติดเชื้อในจีนแผ่นดินใหญ่ทั้งสิ้น 5,327 รายภายในระยะเวลา 9 เดือน แต่ไวรัสโคโรน่าทำลายสถิติดังกล่าวด้วยระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน
ผู้ป่วยรายใหม่ถูกพบในมณฑลหูเป่ย ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองอู่ฮั่น ศูนย์กลางการระบาดของเชื้อถึง 840 คน ทำให้ผู้ป่วยในมณฑลแห่งนี้เพิ่มเป็น 3,554 ราย ในจำนวนนี้มี 228 คนที่อาการอยู่ในขั้นวิกฤติ ขณะที่มีชาวหูเป่ยมากกว่า 20,000 คนที่กำลังถูกตรวจสอบว่าติดเชื้อหรือไม่
ในด้านผู้เสียชีวิตจากไวรัสมรณะชนิดนี้ ล่าสุดอยู่ที่ 131 รายโดยทั้งหมดอยู่ในจีน แบ่งเป็นที่มณฑลหูเป่ย 125 รายและมณฑลอื่นๆ อีก 6 ราย อนึ่ง จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคซาร์สมีมากกว่า 600 รายทั่วโลก
ทั้งนี้ ไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุใหม่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ผ่านการสัมผัส แต่ยังไม่มีการยืนยันอัตราการเสียชีวิตที่แน่ชัดของไวรัสมรณะตัวนี้ แต่ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 60 ปี และมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว
ขณะที่นาย จง หนานซาน หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทางเดินหายใจที่สุดในประเทศจีน กล่าวเมื่อวันอังคารว่า การระบาดของไวรัสตัวนี้ยังไม่ถึงจุดสูงสุด และจุดนั้นจะมาถึงภายใน 1 สัปดาห์ถึง 10 วัน แล้วหลังจากนั้นจำนวนผู้ป่วยจะไม่เพิ่มขึ้นเร็วแบบนี้อีกแล้ว
ด้านนาย หยวน กว๊อก-ยุง ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อในฮ่องกงกล่าวว่า นักวิจัยในเขตบริหารพิเศษแห่งนี้พัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ุใหม่ได้แล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาทดสอบเพื่อยืนยันว่าวัคซีนใช้ได้ผลหรือไม่



                               โรตีดิบ อร้าย!!!!

หลังจากที่มีสาวโชว์กินโรตีดิบผ่านแอปพลิเคชันกลายเป็นกระแสโด่งดัง ส่งผลให้วัยรุ่น รวมถึงเด็กๆทำตามทานแป้งโรตีดิบๆ จนเกิดกระแสด้านลบว่า ล่าสุดสาวต้นตออัดคลิปขอโทษ รู้เท่าไม่ถึงการณ์

“สวัสดีค่ะ วันนี้เกดจะมาขอเคลียร์ประเด็นเรื่องโรตีสดที่เกดเคยกินไป ตัวเกดเองก็ไม่เคยกินเหมือนกัน เกดก็โพสต์ลง คือเกดไม่รู้ว่ามันกินไม่ได้ เพราะเกดก็ถามแม่ค้าว่ามันกินได้ไหม แม่ค้าก็บอกว่ากินได้ เกดก็ไม่ได้ไตร่ตรอง คือเหมือนว่ารู้เท่าไม่ถึงการ ไม่คิดว่าจะมาเป็นกระแส ไม่คิดว่าเด็กๆจะมากินตาม เกดต้องขอโทษไว้ ณ ตรงนี้เลยจริงๆ ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วก็เด็กๆที่อยากจะกินตาม เกดขอบอกว่าหยุดเถอะ อย่าคิดที่จะกินตาม เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี”

หลายคนรู้จักสาวคนนี้ในนาม "แม่เกด" ได้ออกมาโพสต์คลิปขอโทษผ่านแอปพลิเคชัน "TikTok" ซึ่งเป็นแอปยอดนิยมในหมู่วัยรุ่น ชี้แจงว่า จริงๆ เธอก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าโรตีดิบกินได้หรือไม่ แต่ได้ถามแม่ค้าโรตีแล้วว่ากินดิบได้ไหม แม่ค้าขายโรตีบอกว่ากินได้ ก็เลยลองกินดู ไม่คิดว่าจะกลายมาเป็นกระแสดัง มีเด็กๆ รวมถึงวัยรุ่นแห่ทานตาม งานนี้เจ้าตัวถึงกับน้ำตาซึมยอมรับผิดในครั้งนี้ที่เป็นคนเริ่มต้นกระแสกินโรตีดิบ ยอมรับว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์จริงๆ พร้อมทั้งเตือนหลายๆ คนที่ตอนนี้ยังคิดอยากลองกินโรตีดิบตามเธอว่าให้หยุด เพราะว่าไม่ดีต่อสุขภาพ

หลังจากที่เธอโพสต์คลิปขอโทษไม่นาน ก็มีคนนำไปลงในทวิตเตอร์แล้วก็ยังคงมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ออกมาอยู่ ส่วนใหญ่ก็ยังคงต่อว่ากับการกระทำดังกล่าวว่าควรจะคิดให้มากกว่านี้ เนื่องจากแม่เกดเป็นผู้มียอดติดตามในแอป TikTok เยอะ บางส่วนก็บอกว่านี่ขนาดเจ้าตัวต้นเรื่องออกมาเตือนว่าอย่ากินแล้ว แต่ก็ยังมีหลายคนดื้อดึงอยากลองกินอีก

แม้จะยังไม่มีกระแสข่าวว่ามีคนป่วยจากการกินโรตีดิบ แต่ก็ต้องย้ำเตือนกันเลยว่า การกินโรตีดิบๆ อาจมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ

ด้านกรมอนามัยให้ความรู้กับประชาชนผ่านตัวการ์ตูนลักษณะแบบนี้ "แป้งโรตีดิบ เขาไม่กินหรอกนะ" ต้องอธิบายให้คุณผู้ชมฟัง แป้งโรตีทำจากแป้งอเนกประสงค์ เนย ไข่ไก่ เกลือ นมข้นหวาน นวดจนได้เนื้อแป้ง ปั้นเป็นก้อนแล้วนำไปแช่เย็น ก่อนจะเอาไปทำโรตีทอด โรยนมข้นและน้ำตาล ซึ่งผลเสียจากการกินแป้งโรตีดิบไม่ผ่านความร้อนอาจมีเชื้อแบคทีเรียปะปนเป็นอันตรายต่อร่างกาย ส่งผลให้ย่อยยาก อาจเป็นสาเหตุทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องร่วง อาหารเป็นพิษได้
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ข่าวการกินโรตีดิบ
เศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร


            
             เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางสายกลาง ความไม่ประมาท ไม่ฟุ่มเฟือย คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ตลอดจนการใช้ความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต โดยมีใจความสำคัญคือสติ ปัญญา และความเพียร ซึ่งเป็นบันไดสู่ความสุขในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง








            
                    โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 ดังนี้

“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (18 กรกฎาคม 2517)

“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้...” (4 ธันวาคม 2517)

จากพระบรมราโชวาทนี้จะเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเห็นว่าการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ จึงทรงเน้นให้สร้างความพอมีพอกินในประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน และเมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงค่อยสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้นเป็นลำดับถัดไป 








ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริที่แท้จริงเป็นอย่างไร

                                จริง ๆ แล้วปรัชญาพอเพียงเป็นปรัชญาที่ชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับของรัฐที่ซึ่งจะนำมาใช้ในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง และในขณะเดียวกันก็ต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม

ทั้งนี้หากจะกล่าวถึงปรัชญาเศรษฐกิจให้เข้าใจง่ายขึ้นมาอีกนิดก็อาจจะอธิบายได้ว่า เศรษฐกิจพอเพียง มีหัวใจหลักคือการพอในความต้องการ ดังพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2541 ความว่า





พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2541 เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2541

“...คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่าทําอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข...”

“...ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ อันนี้ก็หมายความอีกอย่างของเศรษฐกิจ หรือระบบพอเพียง...พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง...”

พระองค์ทรงเป็นต้นแบบของปรัชญาแห่งความพอเพียงอย่างแท้จริง ทรงมีพระราชจริยวัตรที่เกี่ยวข้องกับความประหยัดและพอเพียงมากมาย อาทิ

- เผยพระกระยาหารโปรด ในหลวง ร.9 สุดแสนธรรมดา พ่อแห่งความพอเพียง
- ข้าวผัดไข่ 1 จาน ของในหลวง ต้นแบบปรัชญาพอเพียง เรื่องเล่าจาก ดร.สุเมธ
- เปิดเรื่องเล่าสุดประทับใจ ฉลองพระบาทของ ในหลวง ร.9...ที่ซ่อมไม่ได้อีกต่อไป






เศรษฐกิจพอเพียงมีอะไรบ้าง

ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบไปด้วยคุณสมบัติ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ดังนี้

ห่วง 1 คือ ความพอประมาณ

หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ

ห่วง 2 คือ ความมีเหตุผล

หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ

ห่วง 3 คือ ภูมิคุ้มกัน

หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้นอกจากคุณสมบัติดังกล่าวแล้ว ยังมีเงื่อนไขของการตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงอีก 2 ประการ ดังนี้

1. เงื่อนไขความรู้

อันประกอบไปด้วยความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบัติ

2. เงื่อนไขคุณธรรม

อันประกอบไปด้วยความตระหนักในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร และการใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องเสริมสร้าง






ดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องทำอย่างไร

แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงอันเกิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับสภาพสังคมของประเทศชาติ และวิถีชีวิตของประชาชนชาวไทย ซึ่งเราสามารถนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติได้ตามนี้











1. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการใช้ชีวิต
2. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริต
3. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันกันในทางการค้าแบบต่อสู้กันอย่างรุนแรง
4. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยการขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้มีรายได้เพิ่มพูนขึ้น จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ
5. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่ว ประพฤติตนตามหลักศาสนา

จะเห็นได้ว่าหลักทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงสามารถสร้างความสุขที่ยั่งยืนได้หากทุกคนทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะได้รับการเชิดชูจากองค์การสหประชาชาติว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ อีกทั้งยังสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนอีกด้วย


ภาพจาก สำนักประชาสัมพันธ์เขต 1 ขอนแก่น, กองทัพบก, sipp, หนังสือเศรษฐกิจพอเพียง องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563

กลอนแปด

กลอนแปดคณะหนึ่ง จะมี  4 วรรค ทุกวรรคมีแปดคำ
วรรคแรก เรียกว่า วรรคสดับ
วรรคสอง เรียกว่า วรรครับ
วรรคสาม เรียกว่า วรรครอง
วรรคสี่ เรียกว่า วรรคส่ง
อ่านเป็นสามตอนในทุกวรรค สามคำ สองคำ และสามคำ ทั้งมีกำหนดสัมผัสด้วย
กลอนแปดนั้นไม่บังคับวรรณยุกต์ บังคับแต่รูปสระ
กลอนแปดสุภาพ
ส่วนกลอนแปดสุภาพนั้นเหมือนกลอนแปดทั่วไป แต่จะเพิ่มบังคับรูปวรรณยุกต์ไว้
จะลองเขียนร่างแผนผังดู
๐๐๐ ๐๐ ๐๐๐      ๐๐๐ ๐๐ ๐๐สุภาพ                   ( วรรคสดับ – วรรครับ )
๐๐๐ ๐๐ ๐๐สุภาพ     ๐๐๐ ๐๐ ๐๐สุภาพ            ( วรรครอง – วรรคส่ง  )
๐๐๐ ๐๐ ๐๐๐          ๐๐๐ ๐๐ ๐๐สุภาพ               ( วรรคสดับ – วรรครับ  )
๐๐๐ ๐๐ ๐๐สุภาพ     ๐๐๐ ๐๐ ๐๐สุภาพ             ( วรรครอง – วรรคส่ง  )
แต่ทีนี้ไม่มีเครื่องมือให้ใช้ จึงขอยกภาพจากอินเตอร์เนตแล้วปรับเติมนิดหน่อย ดังนี้ค่ะ

คำประพันธ์ ที่ต่อท้ายว่า “สุภาพ” นับว่าเป็นคำประพันธ์ที่แสดงลักษณะเป็นไทยแท้ ด้วยมีข้อบังคับในเรื่อง รูปวรรณยุกต์
ในกลอนสุภาพนอกจากมีบังคับเสียงสระเป็นแบบแผนเช่นกลอนปกติแล้ว ยังบังคับรูปวรรณยุกต์เพิ่ม จึงมีข้อจำกัดทั้งรูปและเสียงวรรณยุกต์
ดังตัวอย่าง :-
             (วรรคสดับ)                                            (วรรครับ)
จะออกปากฝากรักก็ศักดิ์ต่ำ           กลัวจะซ้ำถมทับไม่นับถือ

           (วรรครอง)                                              (วรรคส่ง)
ถึงยามนอนร้อนฤทัยดังไฟฮือ      ชมแต่ชื่อก็ค่อยชื่นทุกคืนวัน

             (วรรคสดับ)                                            (วรรครับ)
เวลาหลับคลับคล้ายไม่วายเว้น     ได้พบเห็นชื่นใจแต่ในฝัน
(วรรคสรอง)                                            (วรรคส่ง)
ขอฝากปากฝากคำที่รำพัน           ให้ทราบขวัญนัยนาด้วยอาวรณ์

ตามธรรมเนียมแต่โบราณนั้นการแต่งกลอนต้องไม่เป็นระลอกทับ ระลอกฉลอง เพราะเป็นแบบที่บกพร่อง
  • ระลอกทับ หมายถึงการมีรูปวรรณยุกต์เอกหรือโทในคำสุดท้ายของวรรครับและวรรครอง
  • ระลอกฉลอง หมายถึงรูปวรรณยุกต์เอกหรือโทในคำสุดท้ายของวรรคส่ง
  • นั่นคือทั้ง วรรครับ วรรครอง และ วรรคส่ง นั้น, คำสุดท้าย ต้องไม่ลงด้วยเสียงวรรณยุกต์เอก หรือ โท
  • ในเรื่องเสียงวรรณยุกต์ที่บังคับ จะเน้นว่าเสียงที่ส่งสัมผัสสระถึงกันทั้งวรรครับ วรรครอง และวรรคส่ง จะต้องไม่ซ้ำเสียงวรรณยุกต์ด้วย ถ้าซ้ำถือว่าไม่เป็นรสกลอน1
การประพันธ์กลอนสุภาพนับเป็นการแสดงไหวพริบปฎิภาณและความแตกฉานในการใช้ภาษาไทยของผู้แต่งให้เด่นชัดยิ่งขึ้น
คำประพันธ์กลอนสุภาพนิยมเล่นกันมากตั้งแต่สมัยอยุธยา จวบจนถึงปัจจุบัน ในต้นรัตนโกสินทร์นั้นงานกลอนสุภาพเด่นชัดในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งเฟื่องฟูถึงขนาดมีการแข่งขันต่อกลอนสด กลอนกระทู้ ตลอดรัชสมัยมีผลงานออกมามากมาย เช่น กลอนโขน กลอนนิทาน กลอนละคร กลอนตำราวัดโพธิ์ เป็นต้น บทพระราชนิพนธ์เรื่อง เงาะป่า ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ ยังมีกวีท่านอื่นที่มีชื่อเสียง เช่น สุนทรภู่ เป็นต้น และในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก็มีปราชญ์กวีทางกลอนสุภาพที่สำคัญหลายท่านเช่นกัน

ทีนี้ก็ลองแต่งดูตามความรู้ที่ได้ ดังนี้  :-

อันกลอนแปด สุภาพ ตามภาพวาด          อ่านสามตอน ระบุกราด ทุกวรรคหนาวรรคสดับ วรรคแรก ทิ้งฟัดมา …………คำที่สาม หรือห้า วรรครับครัน
คำสุดท้าย วรรครับ ส่งไปปราด ………..วรรครองฟาด คำที่แปด อย่าเหหัน
คำสามหรือ คำห้า วรรคส่งพลัน ……….คำท้ายดั้น วรรคส่ง ส่งต่อไป
อีกอย่าลืม เรื่องเสียง วรรณยุกต์              คำที่แปด กระตุก  สามวรรคไขรับ-รอง-ส่ง ห่อนรูป แม้เสียงใด ………..วรรณยุกต์ อย่าใส่ บังคับคำ
สามัญสูง สามวรรค เสียงไม่เหมือน          อย่าแชเชือน กลอนสุภาพ ภาพงามขำทั้งสัมผัส สระ อย่างประจำ ……………..เขาจักร่ำ ระบือ ชื่อกลอนดี
สัมผัสใน ควรคง ไว้บ้างเถิด                     เพิ่มไพเราะ ล้ำเลิศ เกิดศักดิ์ศรีการใช้คำ เลือกใช้ อย่างกวี ……………คำสูงต่ำ เหมาะที่ ไม่ปนเอย.


❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

ตรีโกณมิติ ป็นสาขาหนึ่งในวิชาคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับมุมและด้านของรูปสามเหลี่ยม มันไม่ได้จำกัดใช้เฉพาะกับสามเหลี่ยมมุมฉากเท่านั้น แต่ยังสามารถนำหลักการไปใช้ได้กับสามเหลี่ยมทุกประเภทที่มีด้านประกอบมุมเป็นเส้นตรง ตลอดจนเรขาคณิตรูปทรงอื่น ๆ ที่ถูกทำให้อยู่ในรูปแบบของสามเหลี่ยม


 

แม้ว่าเราจะไม่ได้มีโอกาสประยุกต์ใช้ตรีโกณมิติในชีวิตประจำวันมากนัก (นอกจากผู้ที่เรียนสาขาวิชาคณิตศาสตร์โดยตรง นักคณิตศาสตร์ หรือวิศวกร) แต่ในบางครั้งเราก็ได้ใช้ประโยชน์จากมัน เช่น การคำนวณหาระยะทางการเดินเรือในทะเล อีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคณิตศาสตร์ในสาขาอื่น ๆ อย่างลอการิทึม แคลคูลัส เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนึ่งในการคำนวณเรื่องตรีโกณมิติ ก็คือ การจดจำค่าของฟังก์ชันตรีโกณมิติ โดยมีฟังก์ชันพื้นฐานอยู่ 3 ฟังก์ชัน ซึ่งเป็นค่าของแต่ละด้านที่หารด้วยอีกด้านหนึ่ง ได้แก่

***sine***
sin θ = ด้านตรงข้ามมุม θ/ด้านตรงข้ามมุมฉาก
= ข้าม/ฉาก


***cosine***
cos θ = ด้านประชิดมุม θ/ด้านตรงข้ามมุมฉาก
= ชิด/ฉาก

***tangent***
tan θ = ด้านตรงข้ามมุม θ/ด้านประชิดมุม θ
= ข้าม/ชิด

วันนี้เรียนรู้เรื่อง การสร้างปกรายงานด้วย Powerpoint
ใช้สำหรับทำปกรายงาน ปก portfolio ปกอะไรก็ได้ ไม่ง้อ photoshop ซึ่งเรียนรู้แล้วทำได้ง่ายๆสามารถสืบค้นตัวอย่างได้จาก google ได้อีก ทำให้เกิด ไอเดียใหม่ๆ ในการทำงาน ประยุกต์โปรแกรมที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด


วิธีทำง่ายๆ ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้

1.ตั้งค่า slideให้เป็นขนาด A4 แนวตั้ง
2.แทรก รูปร่าง ต่างๆ จัดให้สวยงามล้วนออกจาก slide ได้ซึ้งมันจะแสดงแค่ใน slide
3.แทรกภาพตัวเอง ทีี่มีพื้นหลังเบลอๆ หรือสีเดียว ให้ตัวเราเด่นๆ สวยๆ จากนั้น คลิกเอาพื้นหลังออก ว้าว!!! คลิกเดียวสวย
4.แทรกเนื้อความตามเนื้อหา
5.แทรกรูปภาพประกอบ พอประมาณ









ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Facebook

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

ค้นหาบล็อกนี้


About Me

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริบางประการเกี่ยวกับ การอนุรักษ์พันธุกรรมพืช "การสอนและอบรมให้เด็กมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์พืชพรรณนั้น ควร ใช้วิธีการปลูกฝังให้เด็กเห็นความงดงาม ความน่าสนใจ และเกิดความปิติที่จะทำการ ศึกษาและอนุรักษ์พืชพรรณต่อไป การใช้วิธีการสอนการอบรมที่ให้เกิดความรู้สึกกลัวว่า หากไม่อนุรักษ์แล้วจะเกิดผลเสีย เกิดอันตรายแก่ตนเอง จะทำให้เด็กเกิดความเครียด ซึ่งจะเป็นผลเสียแก่ประเทศในระยะยาว"

เว็บพฤษศาสตร์โรงเรียน นภว.

เว็บพฤษศาสตร์โรงเรียน นภว.
โดยนายคำโพธิ์ ศรีสุพรรณ

Popular Posts